ระบบผิวหนัง
ผิวหนังปกคลุมห่อหุ้มร่างกายทั้งหมด ซึ่งภายในมีปลายประสาทรับความรู้สึกมากมาย เพื่อรับรู้การสัมผัส การกดความเจ็บ และอุณหภูมิร้อนเย็น ระบบผิวหนังมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย และยังมีหน้าที่เป็นอวัยวะขับเหงื่อและไขมันด้วย
          ผิวหนังยืดหยุ่นได้มาก บนผิวของหนังมีรูเล็กๆ อยู่ทั่วไป รูเล็กๆ นี้ เป็นรูเปิดของขุมขน ท่อของต่อมไขมัน และ
ต่อมเหงื่อ ผิวหนังที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้ามีรอยนูนเป็นสันจำนวนมาก  โดยเฉพาะที่ปลายนิ้วมือทั้งห้ามีสันนูนเรียงกันเป็นร้อยหวายหรือก้นหอย จึงใช้รอยพิมพ์ปลายนิ้วมือเป็นประโยชน์ในการแยกหรือทำนายบุคคลได้โดยการพิมพ์ลายนิ้วมือ เนื่องจากรายละเอียดในการเรียงตัวของรอยนูนนี้แตกต่างกันในแต่ละบุคคล
          บริเวณผิวหนังที่มีกล้ามเนื้อเกาะอยู่ ผิวหนังจะเกิดเป็นรอยย่นได้เมื่อกล้ามเนื้อนี้หดตัว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือบริเวณใบหน้า มีกล้ามเนื้อมายึดติดที่หนังมาก จึงทำให้เกิดรอยย่น ซึ่งแสดงอารมณ์โกรธ กลัว ยิ้มแย้มแจ่มใสหรือเศร้าหมองได้
          ส่วนใหญ่ของร่างกาย ผิวหนังจะเลื่อนไปเลื่อนมาได้แต่บางแห่งก็ติดแน่นกับอวัยวะภายใต้ เช่น หนังศีรษะ ด้านนอกของใบหู ฝ่ามือและฝ่าเท้า และตามรอยพับของข้อต่อต่างๆ
          ผิวหนังประกอบด้วย ๒ ส่วน
          
๑. ชั้นตื้น เรียกว่า หนังกำพร้า (epidermis)
          ๒. ชั้นลึก เรียกว่า หนังแท้ (dermis)
หนังกำพร้า          คลุมอยู่บนหนังแท้ ความหนาของหนังกำพร้าแตกต่างกันตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย หนาตั้งแต่ ๐.๓ ถึง ๑ มิลลิเมตร  หนังกำพร้าที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าหนาที่สุด และบางที่สุดที่หนังตาชั้นนี้ไม่มีหลอดเลือดเลยและประกอบด้วยเซลล์รูปร่างต่างๆ กันหลายชั้น ชั้นตื้นที่สุดที่ผิวเป็นเซลล์แบนๆ และตายแล้วจะลอกหลุดออกไปเป็นขี้ไคล
หนังแท้          ประกอบด้วยเส้นใยพังผืดเป็นส่วนใหญ่ประสานไขว้กันไปมา ส่วนตื้นของชั้นนี้ยื่นเป็นปุ่มนูนขึ้นมาสวมกับช่องทางด้านลึกของหนังกำพร้า ในปุ่มนูนนี้มีหลอดเลือดและปลายประสาทรับความรู้สึก ส่วนลึกของหนังแท้จะมีแต่เส้นใยพังผืดประสานกันค่อนข้างแน่น ความยืดหยุ่นของผิวหนังที่อยู่เส้นใยพังผืดและเนื้อเยื่อใต้หนัง ในคนชรา เส้นใยพังผืดยึดหยุ่นลดน้อยลง
จึงเกิดเป็นรอยย่น หย่อนยาน
          หนังสัตว์ที่นำมาทำเป็นรองเท้า กระเป๋านั้น ก็คือส่วนของหนังแท้นั่นเอง ซึ่งเหนียว หนา และทนทาน
          สีของผิวหนัง เกิดจากจำนวนเม็ดสีเมลานิน (melaninซึ่งอยู่ในเซลล์ชั้นลึกของหนังกำพร้า ถ้าเม็ดสีเมลานินมีมากก็มีผิวดำ ถ้าเม็ดสีเมลานินมีน้อยก็มีผิวขาว ในที่บางแห่งผิวหนังมีสีจัดขึ้น เช่น ที่บริเวณหัวนม ลานหัวนม รอบๆ ทวารหนักและผิวหนังที่ถูกแสงแดดอยู่เสมอ สีของผิวหนังจึงอาจใช้แบ่งแยกเชื้อชาติได้ เช่น พวกนิโกร มีเม็ดสีเมลานินมากตลอดความหนาของหนังกำพร้า ผิวจึงดำมาก พวกยุโรปมีเม็ดสีเมลานินน้อยผิวจึงขาว และพวกเอเชียมีเม็ดสีเมลานินปานกลางผิวจึงเหลือง โดยเฉพาะพวกสืบเชื้อสายชาวมองโกเลียผิวหนังรอบๆ ทวารหนักจะมีสีดำหรือเขียวมากกว่าส่วนอื่นๆของร่างกาย
          สีของผิวหนัง นอกจากจะเกิดจากเม็ดสีเมลานินแล้วยังเกิดจากสีของเลือดในหนังแท้ด้วย ซึ่งทำให้ผิวมีสีชมพูจัดในคนที่มีเลือดสมบูรณ์ดี และทำให้ผิวซีดในคนที่เป็นโรคโลหิตจาง นอกจากนั้นยังขึ้นกับความหนาของผิวหนังด้วย จะเห็นได้ในเด็กทารก มีผิวหนังบางจึงมีผิวสีชมพู

หน้าที่ของผิวหนัง
           ในการที่ผิวหนังห่อหุ้มร่างกายไว้ทั้งหมด จึงมีหน้าที่
                      ๑. ช่วยป้องกันอวัยวะที่อยู่ลึกทั่วไปจากอันตราย และ การแทรกซึมของเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ
                      ๒. ป้องกันไม่ให้น้ำภายนอกซึมเข้าไปในร่างกายและป้องกันมิให้น้ำในร่างกายระเหยออกไป
                      ๓. ผิวหนังจะหนาตัวขึ้น เมื่อผิวหนังส่วนนั้นถูไถกับสิ่งอื่นบ่อยๆ
          ขณะเดียวกันผิวหนังยังเป็นอวัยวะด้วย ซึ่งมีหน้าที่
                      ๑. รับความรู้สึกต่างๆ อย่างกว้างขวาง โดยที่มีปลายประสาทรับความรู้สึกหลายชนิด และจำนวนมาก เช่น เจ็บ สัมผัส กด และร้อนเย็น
                      ๒. ควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย โดยระบายความร้อนออกจากร่างกายผ่านทางผิวหนัง
                      ๓. ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย โดยต่อมเหงื่อขับเหงื่อ จึงทำหน้าที่ช่วยไตขับถ่ายของเสียจากร่างกาย  ซึ่งเห็นชัดในหน้าร้อนจะมีเหงื่อออกมาก
                      ๔. เป็นแหล่งสร้างวิตามินดี  ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาของแสงอัลตราไวโอเลตของแสงอาทิตย์ต่อสเตอรอล (sterol) ในผิวหน้า ป้องกันโรคกระดูกอ่อน
          ผิวหนังทั้งหมดที่ห่อหุ้มร่างกายผู้ใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ ๑.๗ ตารางเมตร

          การเจริญเปลี่ยนแปลงของผิวหนัง เพื่อเป็นอวัยวะป้องกันอันตรายนั้น อาจมีการเปลี่ยนแปลงให้มากมายในสัตว์ต่างๆ เช่น ในจระเข้ ผิวหนังเปลี่ยนเป็นแผ่นหนา ในคางคกเจริญเป็นต่อมพิษ ในปลาเปลี่ยนเป็นเกล็ดและต่อมเมือก

สิ่งที่เจริญเปลี่ยนแปลงไปจากผิวหนัง
เล็บ          เจริญมาจากหนังกำพร้า    เป็นแผ่นแข็งยืดหยุ่นได้ อยู่ทางด้านหลังของปลายนิ้วมือและนิ้วเท้าปล้องสุดท้าย เล็บมีลักษณะโปร่งแสง มีส่วนที่ยื่นพ้นปลายนิ้ว ซึ่งไม่มีหลอดเลือดและประสาทมาเลี้ยง ซึ่งเป็นส่วนที่เราตัดออกและตกแต่งให้สวยงามได้
          ส่วนของเล็บที่ฝังอยู่ในหนัง เรียกว่า รากเล็บ และ สองข้างของเล็บมีผิวหนังยื่นมาคลุมเล็กน้อยทางด้านลึกของเล็บมีปลายประสาทรับความรู้สึกมากมาย ดังนั้นเมื่อเป็นฝี มีดบาดหรือหนามตำใต้เล็บ จึงเจ็บปวดมากและมีหลอดเลือดมาเลี้ยงมาก สีของเลือดจึงสะท้อนผ่านเล็บ ทำให้เล็บมีสีชมพูในคนปกติ ในขณะเป็นโรคโลหิตจางจะมีสีซีดขาว
          การงอกของเล็บเฉลี่ยประมาณ ๑ มิลลิเมตร ใน ๑ สัปดาห์ หรือ ๓ มิลลิเมตร ใน ๑ เดือน เล็บเท้างอกช้ากว่าเล็บมือ เมื่อเล็บถูกดึงหลุดไปจะมีเล็บใหม่งอกขึ้นมาได้
ขนหรือผม
          ขนหรือผมเจริญมาจากหนังกำพร้าชั้นลึก ขนเจริญเกือบทั่วทั้งร่างกาย ยกเว้นในบางแห่งเท่านั้น เช่น หัวนม สะดือ ขอบปาก ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และด้านหลังของนิ้วปล้องสุดท้าย
           ขนมีความยาว ความหยาบ ความหนาแน่น รูปร่างและสีแตกต่างกันในบริเวณต่างๆ ของร่างกาย ลักษณะของขนเหล่านี้แตกต่างกันตามอายุ เพศ และเชื้อชาติด้วย เช่น เชื้อชาติมองโกเลียมีเส้นผมกลมและตรง เชื้อชาตินิโกรมีเส้นผมแบนและหยิก และเชื้อชาติคนผิวขาวมีเส้นผมรูปรีและหยักศก
           ขนหรือผมประกอบด้วยสารที่ไม่นำความร้อน ดังนั้นจึงช่วยป้องกันความร้อนได้ เช่น นำขนสัตว์มาทำเสื้อกันหนาว  ขนในที่บางแห่งหนาแน่นก็ป้องกันการเสียดสีกระทบกระเทือนได้  สัตว์บางชนิดใช้ขนเป็นอัวยวะรับความรู้สึก เช่น แมวหากินกลางคืน ก็อาศัยหนวดคลำทาง

ขนทุกเส้นประกอบด้วย เส้นขน รากขน และขุมขน
           เส้นขน เป็นส่วนของขนที่โผล่พ้นผิวหนังขึ้นมา
           รากขน เป็นส่วนที่ฝังอยู่ในรูผิวหนังเฉียงๆ ดังนั้นเส้นขนจึงเอียงเฉียงๆ ด้วย ส่วนลึกของรากขนโป่งเป็นกระเปาะและมีส่วนของหนังแท้ยื่นเข้าไปภายในกระเปาะนี้
           ขุมขน เป็นส่วนของหนังกำพร้าและหนังแท้ ยื่นลึกเข้าไปถึงเยื่อใต้หนัง มาประกอบเป็นท่อล้อมรอบรากขน มีท่อของต่อมไขมันมาเปิดสู่ชุมชน

          การเจริญของขน ขนงอกยาวขึ้นเรื่อยๆ จนยาวเต็มที่ตามชนิด และตำแหน่งที่อยู่ของขนนั้น แล้วก็หยุดงอกไประยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นก็จะร่วงหลุดไป อายุของขนรวมถึงระยะหยุดงอกก่อนจะหลุดนั้น แตกต่างกันตามชนิดและตำแหน่งของขน เช่น ขนคิ้ว ขนตา ขนรักแร้มีอายุประมาณ ๓-๔ เดือน ขนอ่อนตามร่างกายอายุประมาณ  ๔ เดือนครึ่ง ผมอายุ ๔ ปี
          ในคน จะเริ่มมีขนตั้งแต่เดือนที่ ๕ ของทารกในครรภ์ขนจะล่วงหลุดไป และงอกขึ้นใหม่เสมอ ขนชุดแรกมีลักษณะละเอียดอ่อน ไม่มีสี เรียกว่า ขนละเอียด ต่อไปมีขนชุดที่สองเกิดขึ้นแทนที่ขนชุดแรก เรียกว่า ขนอ่อน เมื่อเข้าวัยรุ่น มีขน หยาบกว่า ยาวกว่าและสีเข้มกว่านี้ขึ้นทดแทนขนชุดที่สองในที่บางแห่ง  เรียกว่า ขนชุดสุดท้าย
          ส่วนใหญ่ของร่างกายมีขนอ่อนอยู่ทั่วไป อาจมีขนอ่อนชนิดเดียว พบได้ที่หน้า คอ และลำตัวของหญิง ที่แขน ขา และศรีษะมีขนอ่อนและขนชุดสุดท้ายรวมกัน ขนชุดสุดท้ายอย่างเดียว ได้แก่ คิ้ว ขนตา ขนรักแร้ ขนจมูก และขนหัวหน่าว ที่ศีรษะส่วนใหญ่เป็นขนชุดสุดท้าย แต่อาจะมีขนอ่อนปะปนบ้าง
กล้ามเนื้อขนลุก          เป็นกล้ามเนื้อเรียบ ยึดเกาะหนังกำพร้าชั้นลึก ไปถึงผนังชั้นนอกของขุมขนทางด้านมุมป้าน เมื่อกล้ามเนื้อนี้หดตัว ก็ทำให้รากขนและเส้นขนตั้งชันขึ้น ในขณะเดียวกันก็บีบต่อมไขมัน ซึ่งอยู่ตรงมุมระหว่างขุมขนกับกล้ามเนื้อขับไขมันออกมา
ต่อมไขมัน          เป็นต่อมรูปกระเปาะเล็กๆ อยู่ในหนังแท้ พบได้ในผิวหนังเกือบทั้งหมดที่มีขน มีมากที่หนังศีรษะ ใบหน้า รอบๆรูเปิดต่างๆ คือ ทวารหนัก จมูก ปาก และรูหู แต่บางแห่งก็ไม่มีต่อมไขมันเลย เช่น ฝ่ามือ ฝ่าเท้า
          ส่วนก้นของต่อมกว้างออกเป็นรูปกระเปาะ ๑-๕ กระเปาะ แต่มีท่ออันเดียวไปเปิดสู่ขุมขน ยกเว้นที่บริเวณลานหัวนมท่อเปิดสู่ผิวหนังโดยตรง
          ขนาดของต่อมไม่สัมพันธ์กับขนาดของคน เช่น ทารกในครรภ์และเด็กเกิดใหม่ขุมขนเล็กแต่ต่อมไขมันโต ที่จมูกและใบหน้ามีต่อมไขมันมากจึงเป็นมันอยู่เสมอ
          ต่อมไขมันเกิดขึ้นในเดือนที่ ๕ ของทารกในครรภ์ เจริญจากหนังกำพร้าที่เป็นผนังของขุมขน
          ต่อมที่รูหูดัดแปลงเป็นต่อมขี้หู สารที่หลั่งออกมาจะแข็งตัวเมื่อถูกอากาศเป็นขี้หู
ต่อมเหงื่อ           พบได้ในผิวหนังเกือบทุกแห่งของร่างกาย มีจำนวนมากมายที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ซึ่งมีท่อเปิดที่ยอดของสันผิวหนัง
         
           ต่อมมีลักษณะเป็นท่อยาว ส่วนลึกของท่อขดไปมาจนเป็นก้อนกลมหรือก้อนรูปไข่ ขนาด ๐.๑-๐.๕ มิลลิเมตร อยู่ในเยื่อใต้หนังหรือในส่วนลึกของหนังแท้ ส่วนนี้ทำหน้าที่หลั่งเหงื่อ ส่วนตื้นของท่อผ่านหนังแท้และหนังกำพร้า เปิดสู่ผิวเป็นรูรูปกรวยเล็กๆ เรียกว่า รูเหงื่อ ซึ่งอาจเห็นได้เมื่อใช้แว่นขยายโดยเฉพาะที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า
        
           บางแห่งไม่มีต่อมเหงื่อ เช่น หัวนม ขอบริมฝีปาก แอ่ง ใบหู และส่วนลึกของรูหู
        
           ต่อมเหงื่อทั้งหมดมีประมาณ ๒,๐๐๐,๐๐๐ ต่อม มีมากที่สุดที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และน้อยที่สุดที่หลังและขา
        
           ต่อมเหงื่อเจริญจากหนังกำพร้าชั้นลึก งอกลึกลงไปในหนังแท้และเยื่อใต้หนัง เริ่มปรากฏที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ในเดือนที่ ๔ ของทารกในครรภ์ ท่อต่อมเหงื่อจะเปิดสู่ผิวในเดือนที่ ๗ของทารกในครรภ์
        
           เหงื่อออกจากต่อมเหงื่อทั้งหมดประมาณ ๗๐๐-๙๐๐ กรัม ใน ๒๔ ชั่วโมง เมื่ออากาศร้อน ขณะพักผ่อนเหงื่อออก ๒๐๐ กรัม ใน ๑ ชั่วโมง และขณะทำงานอาจออกถึง ๙๐๐ กรัมใน ๑ ชั่วโมง เหงื่อจะเริ่มออกเมื่ออุณหภูมิของร่างกายสูงกว่าปกติ ๐.๒-๐.๕ องศาเซลเซียส แต่ที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้าไม่มีปฏิกิริยาต่ออุณหภูมิ เหงื่ออกจากส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่เท่ากัน เหงื่อออกจากลำตัวประมาณ ๕๐% จากศรีษะและแขนประมาณ ๒๕% และจากขาประมาณ ๒๕%
         
           เหงื่อมีฤทธิ์เป็นกรดจากกรดแล็กติก และประกอบด้วยโซเดียมคลอไรด์เป็นส่วนใหญ่มี ยูเรีย (Urea)และแล็กเตต(lactate) เล็กน้อย